Pages

Tuesday, April 28, 2015

พิธีกรรมทดสอบบารมีเหล็กไหล แบบถุกต้องตามพิธี

พิธีกรรมทดสอบบารมีเหล็กไหล
ในการทดสอบบารมีของเหล็กไหลนั้นจะทาเป็นเล่นๆหรือเพื่อความรู้อย่างเดียว หาได้ไม่เพราะเหล็กไหลในที่นี้มีจิตวิญญาณครอบครองมีความรู้สึกรักโกรธ เกลียดชอบหรือดีเฉกเช่นความรู้สึกของสัตว์โลกทั่วไปที่ยังไม่พ้นความเป็น ปุถุชนเพียงแต่อาศัยธาตุขันธ์ประกอบเข้ากันใช้เป็นที่อยู่อาศัยโดยใช้ บุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ความเป็นเทพในระดับภพภูมิต่างๆแฝงเข้าอาศัยอยู่ดัง นั้นมีใครคิดไม่ซื่อหรือไม่ดีที่จะมาทาลายหรือมุ่งร้ายด้วยเจตนาที่ไม่ บริสุทธิ์จะมีการต่อต้านหรือต่อสู้เกิดขึ้นได้เช่นกันเช่นทาให้อานุภาพของ ดินปืนชื้นจนยิงไม่ออกบางครั้งผู้ที่ทดสอบด้วยปืนจะถูกเหล็กไหลต่อสู้ยื้ด ยุดฉุดรั้งปืนหรือแขนไว้จนไม่สามารถจะยิงได้จนสุดท้ายถูกสิ่งที่มองไม่เห็น ถีบหน้าอกหรือจุกแน่นหน้าอกจนไม่สามารถทาการยิงได้บางครั้งล้มลงทั้งยืนเลย ก็มี

Monday, April 27, 2015

การตัดเหล็กไหล


การตัดเหล็กไหล 
เหล็กไหลตัดคือเหล็กไหลประเภท “ธาตุสาเร็จ” ที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่างๆตามป่าเขาลำเนาไพรที่สามารถไหลไปตามส่วนต่างๆของซอกถํ้าซอกเขาเกิดจากเทพพรหมในระดับ “รูปพรหม” อาศัยเป็นก้อนธาตุในรูปทรงแบบต่างๆลักษณะแกร่งพอสมควรอาศัยธาตุเหล็กเป็น ธาตุหลักสีออกค่อนข้างเขียวจนถึงสีปีกแมงทับขาวเงินยวงหรือหลายสีในก้อน เดียวกันรูปทรงเป็นไปตามที่เทพปรารถนาสีสันแตกต่างกันไปเนื้อค่อนข้างมัน วาวสามารถยืดได้หดได้และลื่นไหลแทรกไปในวัตถุแข็งทึบได้แต่ไม่สามารถล่องหน ไปในอากาศได้ด้วยตนเองต้องอาศัยผู้ที่มีวิชาอาคมเรียกเอาหรือติดต่อกับผู้ ที่เฝ้ารักษาอยู่คือเทพนาคราชคนธรรพ์อสูรยักษ์ฤาษีเป็นต้นเมื่อผู้เฝ้ารักษา ยินยอมให้แล้วผู้มีวิชาอาคมจึงใช้วิชาตัดเอาเรียกเอา


ชนิดของเหล็กไหลที่ใช้ฝังในร่างกาย

สำหรับเหล็กไหลที่ใช้ฝังในบริเวณใต้ท้องแขนนั้นมีด้วยกันหลายชนิดได้แก่
1. เหล็กไหลตาแรด
2. เหล็กไหลโคตรทรหด
3. เหล็กไหลเงินยวง
4. เหล็กไหลเพชร
5. เหล็กไหลโกฏิปี
6.แร่ทองคำ (ทองคำถือว่าเป็นเหล็กไหลเผ่าพันธุ์หนึ่งจึงไม่นิยม นำมาฝังในร่างกาย )

แร่เหล็กไหลโกฏิปี

เหล็กไหลปีกแมลงทับ
เหล็กไหลโกฏิปีถือว่าเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากที่สุดและทรงอิทธิฤทธิ์มากที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นเหล็กไหลที่ตัดเอามาได้ยากแล้ว ยังเก็บรักษาได้ยากที่สุดในบรรดาเหล็กไหลทั้งปวง เหล็กไหลโกฏิปีจะฝังตัวอยู่ในฝักหินตามหน้าเพดานถ้ำ มีลักษณะเป็นดอกบัวตูมมีผิวพรรณวรรณะสีเขียวเข้มอมดำ เมื่อต้องแสงไฟจะเลื่อมพรายประกายรุ้งดูคล้ายว่าสามารถเปลี่ยนสีในตัวเองไปได้เรื่อยๆ อย่างน่า อัศจรรย์ จากสีเขียวเข้มสามารถกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือทอสีออกเป็นเขียวอมเหลืองทอง หรือสีแสดแดงอม เหลือง เหลือบ เขียว เช่นเดียว กับสีของปีกแมลงทับ ครูบาอาจารย์ท่านจึงเรืยกเหล็กไหลชนิดนี้ว่าเหล็กไหลปีกแมลงทับตามลักษณะสีของเหล็กไหลที่เหมือนกันกับสีของปีกแมลงทับนั่นเอง

แร่เหล็กไหลเจ้าป่า


เหล็กไหลเจ้าป่า
เหล็กไหลเจ้าป่า เหล็กไหลเจ้าป่าเป็นเหล็กไหลที่มีอิทธิฤทธิ์ใกล้เคียงกับ เหล็กไหลโกฏิปี โดยทั่วไปจะพบเหล็กไหลเจ้าป่าในป่าลึกตามถ้ำที่มี ธารน้ำลอดตลอดสาย และเป็นถ้ำที่มีความเย็นมาก ๆ เหล็กไหล เจ้าป่าจะฝังตัวอยู่ในหินตามถ้ำ มีลักษณะเป็นดอกบัวตูมที่มีรูปพรรณ สัณฐาน'ทั่ว1ไปเป็นสีดำสนิทเหมือนกับนิลหรือยางตังเมที่ข้นจัด 

เหล็กไหลเพลิง

เหล็กไหลเพลิง
เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็กไหลที่มีอานุภาพใกล้เคียงกับ เหล็กไหลโกฏิปีเช่นกัน แต่มีรูปพรรณสัณฐานเป็นสีแดงเพลิง เนื่องจาก เหล็กไหลเพลิงถือว่าเป็นเหล็กไหลที่มีเตโชธาตุในตัวมากที่สุด ในบรรดาเหล็กไหลชนิดอื่น ๆ โดยทั่วไป และหาก เป็นเหล็กไหลเพลิง ชั้นสุดยอดจะมีสีแดงคล้ายสีเลือด เนื้อใสคล้ายเนื้อแก้ว ส่วนเหล็กไหล เพลิงชั้นรองๆ ลงไปเนื้อจะมีสีแดงแบบอิฐมอญ ส่วนผิวจะคล้ายโลหะ

เหล็กไหลชีปะขาวหรือเหล็กไหลเงินยวง

เหล็กไหลชีปะขาวหรือเหล็กไหลเงินยวง


เหล็กไหลชนิดนี้มักพบในที่เย็นจัด เช่นในแถบประเทศเนปาล ธิเบต และในแถบที่มีหิมะปกคลุม จึงไม่ค่อยพบในประเทศไทย เหล็กไหลชนิดนี้มีสีสันที่แปลกไปกว่าเหล็กไหลโดยทั่วไปเพราะมีสีขาวเงินยวงเหมือนปรอท เหมือนโลหะแวววาว บางชิ้นผิวพรรณดูคล้าย เกล็ดงูจึงเรียกว่า "นางพญางูขาวหรือพญางูเผีอก" จะมีอิทธิฤทธิ์ ทางด้านมายาภาพเช่นกัน และสามารถปรับอุณหภูมิรอบตัวให้ เหมาะสมแก่ผู้พกพาได้ เด่นในทางล่องหนหายตัว เป็นแคล้วคลาด จากภยันตรายทั้งปวง เหล็กไหลประเภทนี้ไม่ค่อยชอบเสพน้ำผึ้ง แต่ชอบอาบแสงจันทร์

เหล็กไหลน้ำ

เหล็กไหลน้ำ
เหล็กไหลน้ำเป็นเหล็กไหลที่มีลักษณะเป็นก้อนสีดำนิลอม เขียว บางก้อนอาจเป็นสีน้ำตาลแดง บางท่านเรียกว่า "เหล็กไหลตาน้ำ" เหล็กไหลชนิดนี้มักพบตามพื้นดินบริเวณลำธารที่มีหมอกปกคลุม มีตะไคร่น้ำขึ้นอยู่ทั้งปี ซึ่งมีความชุ่มชื้นเสมอๆ เหล็กไหลน้ำเป็น เหล็กไหลที่พบได้ยากอีกชนิดหนึ่ง โดยมากไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก ในสมัยก่อนชาวขอมมักแสวงหาเหล็กไหลน้ำและนำมาเคี่ยวด้วยอาคม เพื่อหล่อหลอมเป็นเทวรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง 

โคตรเหล็กไหลงอก

โคตรเหล็กไหลงอก
โคตรเหล็กไหลงอกป็นเหล็กไหลชั้นรองลงมา หรือที่เรียก กันว่าเหล็กไหลน้ำรอง ซึ่งต่างกับเหล็กไหลโกฏิปี เหล็กไหลเจ้าป่า และ เหล็กไหลเพลิง อันเป็นเหล็กไหลชั้นหนึ่งหรือเหล็กไหลน้ำหนึ่งที่ มีอิทธิฤทธิ์มากและเป็นกายสิทธิ์ที่ต้องใช้วิชาอาคมในการเชิญหรือในการตัด และผู้ที่จะตัดได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีวิชาเท่านั้น ส่วนเหล็กไหลงอก จัดเป็นพวกโคตรเหล็กไหลที่ไม่ต้องใช้วิชาในการตัด แต่ต้องทำการขอจากเจ้าป่าเจ้าเขา ไม่เช่นนั้นจะโดนอาถรรพณ์ทำร้ายจนทำ ให้ชีวิตวิบัติในทุกๆ ด้าน

โคตรเหล็กไหลทรหด

โคตรเหล็กไหลทรหด

โคตรเหล็กไหลทรหดเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นเลิศอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความใกล้เคียงกับโคตรเหล็กไหลงอกมาก แต่ต่างกันตรงที่โคตร เหล็กไหลทรหดนั้นจะงอกขึ้นมาเป็นมัดๆ คล้ายกล้ามเนื้อ ส่วนโคตรเหล็กไหลงอกนั้นจะงอกเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้ายไข่ปลาเกาะติดกันเป็นกลุ่มก้อนบางครั้งจะพบว่ามีทั้งโคตรเหล็กไหลงอกและโคตรเหล็กไหลทรหดขึ้นรวมอยู่ด้วยกัน แต่โดยรวมแล้วโคตรเหล็กไหลทรหดมักขึ้นเป็นมัดๆ และมีมวลแน่นหนากว่าโคตรเหล็กไหลงอก

เหล็กไหลหยด

เหล็กไหลหยด
หล็กไหลหยดหรือที่บางครั้งก็เรียกว่า "เหล็กหยด" ไม่ถือเป็น โคตรเหล็กไหล และไม่ใช่เหล็กไหลน้ำหนึ่งชั้นยอดเหมือนกลุ่มแรก อย่างเหล็กไหลโกฏิปีหรือเหล็กไหลเจ้าป่าเพราะมีคุณภาพต่ำลงมา จึงไม่สามารถดับพิษไฟได้ แต่จะมีอานุภาพเป็นยอดในทางป้องกันงู เงี้ยวเขี้ยวขอและของมีคม เหล็กไหลหยดจะเสพน้ำผึ้งทำให้กลิ่นและรสหวานของน้ำผึ้งหมดไปบางครั้งอาจทำให้น้ำผึ้งพร่องไปบ้าง 

โคตรเหล็กไหลย้อย


โคตรเหล็กไหลย้อย

โคตรเหล็กไหลย้อยเป็นเหล็กไหลที่คล้ายคลึงกับเหล็กไหลหยด สามารถกล่าวได้ว่าโคตรเหล็กไหลย้อยนั้นเป็นต้นกำเนิดหรือเป็นโคตรเหล็กไหลของเหล็กไหลหยดก็ได้ โดยมากโคตรเหล็กไหลย้อยจะมีขนาดใหญ่ตั้งแต่กำปั้นขึ้นไปมีทั้งสีดำและสีออกน้ำตาลแดง บางชิ้น เมื่อนำมาขัดจะเงาออกสีเงินยวงอย่างน่าประหลาด ซึ่งถือว่าเป็นของขลังตามธรรมชาติที่อยู่ในประเภทเหล็กไหลเช่นกันโคตรเหล็กไหลย้อย และเหล็กไหลหยดมักพบตามพื้นใต้ดินหรือตามซอกผา และมีเจ้าที่เฝ้าหวงแหนอยู่ จึงต้องทำการพลีขอเสียก่อน 

ไม้หินแก่นเหล็ก

ไม้หินแก่นเหล็ก
ไม้หินแก่นเหล็กจัดอยู่ในจำพวกเหล็กกายสิทธิ์บางท่านนับถือ ว่าไม้หินแก่นเหล็กเป็น "เหล็กไหลทรงฤทธิ์" ตามตำรากล่าวว่าไม้หิน แก่นเหล็กคือไม้สักหรือไม้ตะเคียนหรือไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ซึ่งจมอยู่ ใต้ดินโดยไม่เน่าเปีอยจนกระทั้งเวลาผ่านไปยาวนานนับล้านปีจึงกลับกลายสภาพเป็นกึ่งหินกึ่งเหล็กอย่างเช่น คดไม้สัก ซึ่งมีหลาย ๆ ชิ้น ที่แม่เหล็กสามารถดูดติดได้และถือว่าเป็นแร่กายสิทธิ์ที่เข้าจำพวก เหล็กไหลเช่นกัน เนื่องจากภายในไม้หินแก่นเหล็กจะมีตบะบารมีของเทพอสูร ที่มีฤทธิ์อยู่ อำนาจจากไม้หินแก่นเหล็กจึงดีเด่นทางด้านคงกระพัน ด้านมหาอำนาจ และยังมีอำนาจทางสะกดสัตว์ป่าทุกชนิด

เหล็กไหลนาคา หรือศิลานาคา

แร่เหล็กไหลนาคา


เหล็กไหลนาคานับเป็นแร่กายสิทธิ์ในตระกูลเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งเหล็กไหลนาคามีรูปร่างไม่แน่นอนบ้างกลมมนบ้างเรียวยาว มีน้ำหนักเหมือนเหล็ก มีสีเทาอมดำหรือสีเขียวอมดำ ที่น่าแปลกคือ เหล็กไหลนาคาจะมีกระแสแม่เหล็กอ่อนๆ ในตัวเอง เมื่อนำเหล็กไหล นาคาเข้าใกล้เหล็กชิ้นเล็กๆ จะสามารถดูดเหล็กชิ้นเล็กๆติดขึ้นมา อย่างน่าอัศจรรย์

ข้าวตอกพระร่วงหรือเป๊ก


ข้าวตอกพระร่วง


ข้าวตอกพระร่วงเป็นเหล็กไหลที่พบในแถบภาคเหนือ พบมาก ที่จังหวัดลำพูน เป็นต้น คุณแม่ๆบุญเรือน โตงบุญเติม ซึ่งเป็นผู้ที่มี สมาธิแก่กล้าและเป็นที่นับถือศรัทธา 

แร่มะขาม

แร่มะขาม

แร่มะขามเป็นเหล็กไหลกายสิทธิ์อีกชนิดหนึ่ง แต่เนื่องจากแร่มะขามมีลักษณะเหมือนเม็ดมะขามเป็นอย่างมาก ชาวบ้านที่ขุดพบจึงเรียกว่า "แร่เม็ดมะขาม" ตามลักษณะที่ค้นพบ บรรดาฤาษี หรือผู้ทรงวิทยาคุณในสมัยพันกว่าปีก่อนต่างนิยมแสวงหาแร่ชนิดนี้ เพื่อที่นำมาใช้สร้างเป็นพระ โดยค้นพบหลักฐานจากพระรอดลำพูนว่าภายในองค์พระบางองค์ได้มีการฝังเม็ดแร่ชนิดนี้เอาไว้รวมทั้งพระซุ้มกอและพระนางพญาก็ได้มีการนำเอาแร่ชนิดนี้มาบดเป็นมวลสารในการสร้างด้วยเช่นกัน 

แร่เม็ดมะขามเป็นของดีทางคงกระพันและแคล้วคลาดจากศาสตราวุธเป็นหลักแร่มะขามจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับพระธาตุเหล็กไหล ซึ่งพระธาตุเหล็กไหลก็คือเหล็กไหลที่หลุดออกมาจากรัง เป็นเม็ดๆ และมีลักษณะสัณฐานกลมคล้ายกับพระธาตุของพระสาวกอย่างพระธาตุของพระโมคคัลลาและพระธาตุของพระสารีบุตร จึงนิยมเรียกเหล็กไหลสัณฐานนี้ว่าพระธาตุเหล็กไหลตามลักษณะที่ใกล้เคียงกับพระสาวกธาตุนั่นเอง 

เหล็กไหลในพระธาตุ

เหล็กไหลตาแรด
หล็กไหลตาแรดพบในเทือกเขาตาแรด ที่จังหวัดกาญจนบุรี ผู้ที่พบในครั้งแรกคืออดีตเจ้าอาวาสของวัดถ้ำแฝดตั้งแต่องค์ก่อนๆ แต่เหล็กไหลตาแรดมาเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์คัมภีโร ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 

สะเก็ดดาวหรืออุลกมณี

เหล็กไหลสะเก็ดดาว

เหล็กไหลสะเก็ดดาว
สะเก็ดดาวเป็นเครื่องรางกายสิทธิ์ที่มนุษย์เรานับถือมานานนับหมื่นๆปี จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องรางของขลังชนิดแรกของโลกที่คู่กับอารยธรรมของมนุษย์เรานอกจากสะเก็ดดาวจะเป็นเครื่องรางที่เก่าแก่แล้วสะเก็ดดาวยังเป็นเครื่องรางที่ถูกจัดอยู่ในจำพวกเหล็กไหลด้วย ดังนั้นจึงมีเหล็กไหลหลายชิ้นที่เมื่อตัดมาแล้วพบว่า เนื้อหินมีลักษณะคล้ายดั่งสะเก็ดดาวมาก ชนิดที่ว่าถ้าวางรวมกันแล้วไม่มีทางแยกออกว่าชิ้นไหนเป็นสะเก็ดดาวชิ้นไหนเป็นเหล็กไหลตัดอย่างแน่นอน

จากความเชื่อที่ว่า "แท้จริงแล้วเหล็กไหลน่าจะมาจากนอกโลก" ดังนั้นวัตถุธาตุที่มาจากนอกโลกอย่างสะเก็ดดาว ซึ่งมีเนื้อธาตุที่เห็นได้ว่า เป็นแก้วใสสิดำสนิทและมีผิวขรุขระก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเหล็กไหลด้วยเช่นกัน อำนาจจากเหล็กไหลสะเก็ดดาวหรืออุลกมณีนี้เป็นที่เชื่อกันว่ามีฤทธิ์ไนทางป้องกันสายฟ้าฟาด กันไฟ กันเสนียดจัญไรทั้งหลาย รวมถึงภูตผีปีศาจและยังเป็นเมตตามหานิยมอย่างเอกอุ สามารถ คุ้มครองป้องกันเวลาเดินทางได้เป็นอย่างดี ชาวอีสาน ชาวส่วย และคนคล้องช้าง ต่างก็ให้ความนับถือในเครื่องรางชนิดนี้ว่ามีอิทธิฤทธิ์ในการป้องกันอาถรรพณ์จากพงไพรได้

เหล็กไหลสะเก็ดดาวเป็นเหล็กไหลที่มิธาตุน้ำอยู่ในตัวสูง และมีพลังงานเย็นในตัว เชื่อกันว่าหากผู้ใดได้สวมใส่หรือพกพาเหล็กไหลชนิดนี้ จะทำให้สามารถใช้โทรจิตได้ดี มีพลังจิตเข้มแข็งขึ้น และสามารถรับคลื่นทางจิตในอากาศได้ดีขึ้นกว่าเดิม

เหล็กไหลนาคราช

เหล็กไหลนาคราช


เหล็กไหลนาคราชหรือเหล็กพญานาคราช
นี้ถูกค้นพบที่บริเวณสระมรกต ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเขตป่าละอู อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดิมที่ดินในบริเวณนี้เป็นที่รกร้างต่อมาได้ถูกปรับปรุงพื้นที่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการปฏิบติกรรมฐาน 

ที่อยู่ของเหล็กไหล 

ที่อยู่เหล็กไหล
เหล็กไหลแท้ๆจะมีเนื้อธาตุที่มีลักษณะคล้ายกับเนื้อหินอุลกมณีหรือสะเก็ดดาว ถ้าเป็นเหล็กไหลชั้นยอดเนื้อจะมีความใส คล้ายแก้ว แต่มีความเข้มข้นสูงมากจนแสงไม่อาจส่องผ่านทะลุได้ 

การสร้างเหล็กไหล (การหุงเหล็กไหล)

การสร้างเหล็กไหล (การหุงเหล็กไหล) 


นอกจากเหล็กไหลที่มีอยู่ตามธรรมชาติแล้วครูบาอาจารย์ผู้มีภูมิความรู้ท่านยังสามารถสร้างเหล็กไหลจำลองขึ้นมาโดยเลียนแบบมาจากธาตุตามธรรมชาติบนโลก ซึ่งเราเรียกการสร้างเหล็กไหลจำลองนี้ว่า "การหุงเหล็กไหลหรีอการเล่นแร่แปรธาตุ"(การที่ทำให้ธาตุอย่างหนึ่งแปรสภาพกลายเป็นธาตุชนิดใหม่ขึ้นมา) 

กำเนิดเหล็กไหลบนโลก

กำเนิดเหล็กไหลบนโลก

ตามตำนานของธาตุกายสิทธิ์ได้กล่าวถึงเหล็กไหลไว้ว่า เหล็กไหลเป็นวัตถุธาตุที่มีแหล่งกำเนิดจากจักรวาล และเหล็กไหลได้เดินทางเข้ามายังโลกของเราเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว เหล็กไหลมีลักษณะเหมือนกับสะเก็ดดาวหรืออุลกมณีทีตกลงมายังโลกของเรา เหล็กไหลจึงมิใช่ธาตุบนโลกแต่เป็นวัตถุธาตุที่มาจากนอกโลก เหล็กไหลนั้นมีปรากฏอยู่ตามที่ต่างๆทั่วโลกโดยเรียกชื่อแตกต่างกันไปตามความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่นั้นๆด้วยพลัง อำนาจอันเร้นลับของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้จึงทำให้ชื่อเสียงของเหล็กไหล เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก 

10 ประเภทของเหล็กไหล

1. เหล็กไหลโกฏิปี
เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากที่สุด และมีอิทฤิทธิ์มากที่สุดในบรรดาเหล็กไหลทั้งหมด เพราะเนื่องจากตัดได้ยากมาก ถ้าตัดไม่ดีอาจถึงชีวิตได้ และเก็บรักษาได้ยาก เป็นเหล็กไหลที่ยังไม่แข็งตัวตามธรรมชาติ เหล็กไหลโกฏิปี มีลักษณะสีเขียวคล้ายปีกแมลงทับ หรือสีออกประกายรุ้ง และยังสามารถเปลี่ยนสีได้เรื่อยๆ บางที่เรียกเหล็กไหลชนิดนี้ว่า เหล็กไหลปีกแมลงทับ ยังไม่สามารถระบุน้ำหนักได้ และจุดแข็งตัวได้

ประวัติ เหล็กไหล




เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุที่มีความลี้ลับพิสดาร แปลกประหลาดมหัศจรรย์แตกต่างไปจากโลหะธาตุทั้งปวง จึงได้ถูกจัดอยู่ในฐานะ “ธาตุกายสิทธิ์” ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นไปตามวิบากของกฎแห่งกรรม ที่บันดาลให้วิญญาณในสังสารวัฏมาปฏิสนธิ ในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์มี อิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติทั่วไป

ทำไมต้องสนใจเหล็กไหล 7 สี

นึกอย่างไรถึงอยากบูชาเหล็กไหล 7 สี?
แรงจูงใจในการบูชา เหล็กไหล 7 สี            
เหล็กไหล 7 สี สีทองท้องปลาไหล ซึ่งสวยงามมากๆ ที่ตัดภาพมาก เพราะนำมาจากเวบไซต์ที่ผู้เขียนบูชามา แต่ไม่ต้องการจะสื่อว่า บล็อคนี้ขายของ หรือโฆษณาขายของ

ความจริงแล้ว ไม่มีใครไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเหล็กไหล
โดยส่วนตัวแล้วที่บ้านก็มีเหล็กไหล

เหล็กไหลเจ็ดสี อิทธิฤทธิ์ครอบจักรวาล


โคตรเหล็กไหลเจ็ดสี 
เป็นเหล็กไหลชั้นยอดในชุดเหล็กไหลและเป็นเหล็กไหลที่หาพบได้ยากมากๆ
มีอิทธิฤทธิ์ด้าน คงกระพันชาตรี กันภูตผีปีศาจได้ดีที่สุด

การอัญเชิญเหล็กไหล คาถาบูชาเหล็กไหล ธรรมธาตุ พุทธบารมี

การอัญเชิญเหล็กไหลเข้าบ้านและ การบูชาเหล็กไหล
เมื่อท่านได้เหล็กไหล(ชนิดใดๆ ก็ตาม ดีทั้งนั้น) ไว้ในครอบครองแล้ว เมื่ออัญเชิญเข้าบ้านให้จุดธูป 5 ดอก  ให้บอกกล่าวดังนี้.- (ตั้ง นะโม 3 จบ )